เรื่องล่าสุด

เลิกอ้าง! 5 สิ่งที่ผู้หญิง ‘เข้าใจผิด’ เกี่ยวกับการออกกำลังกาย

ผู้หญิงหลายๆคนอยากจะออกกำลังกายให้ร่างกายของตัวเองแข็งแรงและมีสุขภาพที่ดี แต่หลายครั้งเรามักจะพบว่ามักจะมีคำพูดอยู่เสมอๆว่า กลัวออกกำลังกายแล้วมีกล้ามขึ้น น่องโต หรือทำให้ร่างกายดูบึกบึน นั่นเป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์ วันนี้แนะนำว่าให้ลองเปิดใจแล้วอ่านข้อมูลเหล่านี้ให้ดี เพราะนั่นอาจจะเปลี่ยนความคิดผิดๆของคุณได้นะครับ

บทความนี้เป็นบทความที่เขียนขึ้นเอง ถือเป็นลิขสิทธิ์ของเว็ปไซต์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก ทำซ้ำ ทั้งหมด ติดลิงค์กลับ หรือบางส่วนไม่ว่ารูปแบบหรือสิ่งอื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเว็ปไซต์ หากพบเห็นจะดำเนินคดีตามกฏหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น

road-running-631x421

1. วิ่งแล้วน่องจะใหญ่

ก่อนอื่นคุณต้องเปลี่ยนความคิดเสียก่อนว่าการที่จะทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นได้มีปัจจัยหลักคือ การใช้น้ำหนักแรงต้านที่หนักเกินกว่าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน แถมยังต้องเป็นน้ำหนักที่มากสุดๆด้วย การออกกำลังกายที่ต่อเนื่องยาวนานด้วยการวิ่ง ไม่มีทางที่จะทำให้น่องใหญ่ได้ มีแต่จะกระชับขึ้น ทั้งต้นขาและน่อง สำหรับคนที่ไม่เคยวิ่งเลย ในช่วงแรกที่วิ่งคุณอาจจะพบว่าน่องของคุณมันพองและตึงๆขึ้นมานิดหน่อย ไม่ต้องตกใจครับมันเป็นระบบการทำงานของกล้ามเนื้อที่จะปรับตัวให้พร้อมที่จะทำงาน พอผ่านไปสักพักมันจะกระชับไปเองครับ แต่ถ้าคุณไปแบกกระสอบข้าวสารแล้ววิ่งนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง อันนี้ใหญ่แน่นอน แต่ถ้าวิ่งธรรมดาๆก็วิ่งไปเถอะ

 

1103-lifting-art

2. การยกน้ำหนักหรือเวทเทรนนิ่งทำให้กล้ามโต

นี่ก็เป็นความเข้าใจผิดมหันต์อีกเรื่องหนึ่ง ฮอร์โมนของผู้หญิงไม่เหมือนผู้ชายและกล้ามเนื้อมันไม่ได้ขึ้นง่ายๆขนาดนั้น หลักของการฝึกด้วยน้ำหนักมีอยู่ 2 แบบ หากจะพูดแบบเข้าใจง่ายๆก็คือ ถ้าอยากให้กล้ามโตต้องยกน้ำหนักที่มากสุดๆ ยก 10 ครั้งแล้วยกต่อไม่ไหวเลยอะไรทำนองนั้น แต่สำหรับการยกน้ำหนักที่เบาและยกได้หลายๆครั้งเช่นยกดัมเบลล์ 1 กิโลกรัม 20-30 ครั้ง นั่นจะส่งผลตรงข้ามครับ การยกแบบนี้ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ แข็งแรง ผิวหนังบริเวณนั้นจะเรียบตึงมากขึ้น เพราะฉะนั้นอย่างกลัวการเวทเทรนนิ่งหรือยกน้ำหนักครับ เรายกให้ถูกหลักก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

 

healthy-teenage-girl-diet

3. การอดอาหารพร้อมออกกำลังกายทำให้ลดน้ำหนักได้เร็ว

การอดอาหารไม่ว่าจะเป็นมื้อไหนก็ไม่ควรทำครับ เพราะการที่เราไม่ทานอาหารเข้าไปทำให้ร่างกายไม่มีพลังงานไว้สำหรับใช้ จึงต้องไปดึงพลังงานสำรองที่สะสมเอาไว้จากไกลโคเจนและไขมันมาใช้ แน่นอนว่าไขมันคุณลดสมใจแน่ แต่ถ้าวันใดคุณกลับมาทานอาหารสามมื้อเหมือนเดิม แทนที่มันจะเอาไปใช้มันก็จะเอาไปเก็บสะสมเป็นพลังงานสำรองเหมือนเดิม สรุปคือไม่มีประโยชน์อะไรเลย วิธีที่ว่ากันว่าใช้ได้ดีคือการทานอาหารตามปกติ แต่ให้ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลงให้น้อยกว่าเดิมครับ แต่อย่าอดอาหารประเภทคาร์โบรไฮเดรต

 

woman-sweating-after-workout-getty__medium_4x3

4. เหงื่อที่ออกมาเยอะแสดงว่าเบิร์นไขมันได้เยอะ

ไขมันไม่ได้ถูกขับออกมาจากเหงื่อ ถึงแม้ว่ามันจะมีไขมันออกมาทางเหงื่อก็เถอะ (ไม่ถึง 1%) การที่เหงื่อออกเยอะหมายความว่าเราระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ดี ส่วนที่เราจะเบิร์นไขมันได้เยอะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับวิธีการออกกำลังกายด้วย หากต้องการเบิร์นไขมันล่ะก็ ต้องออกกำลังกายแบบต่อเนื่องโดยไม่หยุด 20 นาทีขึ้นไป เพราะในช่วง 20 นาทีแรกร่างกายจะใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต หลังจาก 20 นาทีเป็นต้นไปร่างกายถึงจะใช้พลังงานจากไขมันครับ นั่นเลยเป็นที่มาของการออกกำลังกายโปรแกรม T25 (25 นาที) อันลือลั่นไงล่ะ

 

treadmill-workouts

5. รีบออกกำลังกายให้เร็วที่สุดจะได้เบิร์นเยอะๆ

การออกกำลังกายที่เร็วเกินไปเช่นวิ่งบนลู่วิ่ง แบบอัดเต็มสปีดเพื่อหวังจะให้เบิร์นไขมันได้เยอะๆ เลิกคิดไปได้เลย เพราะนั่นเป็นการใช้พลังงานในระบบ Anaerobic หรือระบบที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญเพื่อให้ได้พลังงาน การออกกำลังกายแบบนี้จะเหนื่อยเร็ว กล้ามเนื้อล้าเพราะกรดแลคติกที่สะสมจากการดึงพลังงานมาใช้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญ "มันไม่ใช้พลังงานจากไขมัน" หากต้องการเบิร์นไขมันให้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องนานๆ ใช้ระบบการออกกำลังกายแบบ Aerobic หรือใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญเพื่อให้ได้พลังงาน มีการหายใจอย่างต่อเนื่อง เช่นการวิ่ง เดินเร็ว 20 นาทีขึ้นไป ซึ่งได้คำว่า Aerobic ไม่ได้แปลว่าเต้นแอโรบิคนะครับ การเต้นแอโรบิคเป็นเพียงหนึ่งในวิธีการออกกำลังกายแบบแอโรบิค ซึ่งแน่นอนว่าการที่จะออกกำลังให้ได้เกิน 20 นาทีขึ้นไปคุณจะทำเร็วๆไม่ได้นั่นเอง